Listen To The Music.

18.9.55

หัวหน้าช่างร้ายกาจนัก..

รูปนี้ตอนคาบคณิตมั้ง ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะหลับไง อืม..หลับ 555 
โดนแกล้งโดยเหล่ากรรมการห้อง หัวหน้านี่ตัวดีเลย -_-
แต่ไม่เป็นไรๆ อภัยให้ได้ เพราะรูปยังดูดี 55555555




-- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- --

แวะมาอัพเดต -w- อ้อ ละก็มายแฟมแอนด์เดอะแก็งค์ รอกันต่อไปนะ 555555555555555555 บั๊ยบัย ^^// 

16.9.55

คู่แท้ ต้นหญ้า กับกาลเวลา

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ........ มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่า

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาคู่แท้ของเราเจอได้ไงคับอาจารย์ บอกผมหน่อยได้ไหมคับ ?

อาจารย์ : ( เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ ) อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถามที่ง่ายเหมือนกันนะ

ลูกศิษย์ : ( นั่งคิดอย่างหนัก ) อืม ?.... งงอะไม่เข้าใจ

อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะเลยใช่ไหม เธอลองเดินไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้อาจารย์สิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่ว่าเวลาเธอเดินเนี่ยเธอต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม

ลูกศิษย์ : ได้เลยครับจารย์ รอสักครูน่ะครับ ( ว่าแล้วก็วิ่งตรงไปยังสนามหญ้า ) หลังจากนั้นไม่นาน ....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจารย์

อาจารย์ : อืม ... แต่ทำไมอาจารย์ไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ

ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจารย์ ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวยๆเนี่ย ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยวก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อยรู้ตัวอีกที มันก็สุดสนามหญ้าแล้วครับจะเดินกลับก้อไม่ได้ เพราะจารย์สั่งห้ามไว้

อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือคนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ ทุ่งหญ้าก็คือ เวลา เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้วคิดว่าคงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่เปรียบเทียบ คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า ' เวลาไม่เคยย้อนกลับ ' ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น เรื่องนี้ ยังสามารถใช้ได้กับการหาคนที่จะมาทำงานร่วมกับคุณในชีวิต หรือแม้กระทั่งงานที่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้น มันจึงเป็นสัจธรรมที่ว่า จงรัก และไขว่คว้าโอกาสที่คุณมีในขณะนี้ อย่ามัวแต่เสียเวลา บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น


ที่มา : http://www.cmudd.com/main/index.php/DeeDeeStories/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2.html  

-- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- -- ---------- --  

เรื่องนี้อาจจะทำให้ผู้อ่านบางคนยิ้มออกก็เป็นได้ :) อาจารย์สุดยอดเลยเนอะ วู้วว 5555 ^^


2.9.55

เงือก (mermaid)




เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง
บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา)

ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง

ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเป็นลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง ผู้คนมักจินตนาการว่าไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุธ คอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญาว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล

แต่ตำนานที่เก่าแก่กว่าเล่าว่า ชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน (อาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีศีรษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมปลา)

โอนเนสจะปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลในยามเช้าและกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวัน ต่อมา เทพอียา(Ea) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียา เป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส (Atargartis) เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆของชาวบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะจมหายลงไปในทะเล ดังนั้นเทพเจ้าของเขาจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ความลึกลับนี้สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านทางเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้นเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยงกันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนางเงือกมีความแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น

เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มก่อตั้งขึ้น ตำนานนางเงือกได้เปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้น นางเงือกสามารถที่จะมีชีวิตจิตใจ และวิญญาณได้ แต่จะต้องสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป ไม่คิดจะกลับคืนสู่ท้องทะเลอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงถือเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง

มีเรื่องราวอันน่าเศร้าใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนางเงือก ซึ่งไปเยี่ยมเยียนนักบวชรูปหนึ่งอยู่เป็นประจำ ณ สถานที่อันเป็นที่เคารพสักการะในเกาะไอโอนา (Iona) เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์

เธอได้ขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น และนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้แก่เธอ แต่เธอจะต้องละทิ้งท้องทะเลของเธอตลอดไป แม้ว่าเธอจะปรารถนาชีวิตและจิตใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งทะเลไปได้ ตอนจบค่อนข้างเศร้าเล็กน้อย เธอได้ไปจากเกาะนั้น และน้ำตาของเธอได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทา หากมีใครพบก้อนกรวดดังกล่าวบนเกาะไอโอนา ก็จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คือน้ำตาของนางเงือก

ชาวประมงมักจะเห็นเงือกอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาที่คลื่นลมแรงจัด พวกนี้กล่าวว่าไม่มีอะไรจะงามเตะตาเท่ากับที่ได้เห็นกลุ่มเงือกทุกวัยโลดแล่นอยู่ในทะเลที่กำลังมีคลื่นลม ร่างกายสีเงินยวงของพวกนี้ดูระยิบระยับเหนือคลื่น ดวงตาสีเขียวเป็นประกายสนุกสนานยามเมื่อไถลตัวลงตามคลื่น

แม้ว่าเงือกจะอาศัยอยู่ใต้ทะเล แต่ก็สามารถทำตัวสบายๆเมื่ออยู่แผ่นดินได้เหมือนกัน พวกนี้มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง แต่ก็สามารถพูดภาษาคนของแผ่นดินที่มันอาศัยอยู่ใกล้ที่สุดได้เช่นกัน ว่ากันตามอุปนิสัยแล้ว นางเงือกที่มักจะชอบขึ้นมาเที่ยวชายฝั่ง ก็แค่มานั่งหวีผมที่ยาวสลวย ฟังเสียงทะเลและนกร้องเท่านั้น เงือกเป็นสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ฉลาดที่สุดและว่องไวเกินกว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งยากใดๆ เงือกกินปลาและอาหารทะเลอื่นๆแต่ก็ไม่เคยเข่าไปข้องแวะในกิจกรรมของชาวประมง ยกเว้นแต่ว่ามนุษย์ไปรุกรานเงือกเข้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น

นางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่น่าสนใจ เพราะมีความสวยสะดุดตาและมีความลึกลับที่น่าค้นหา พวกนี้มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับ เรียกว่า "สตรอเบอรีบลอนด์" มีดวงตากลมโตสีเขียว หรือเขียวอมฟ้าเหมือนน้ำทะเล ผิวเนื้อส่วนที่เป็นคน ขาวบริสุทธ์ผุดผ่องเหมือนไข่มุก เมื่อลงไปอยู่ในทะเลก็จะเหลือบเป็นสีเงิน ยิ่งกว่านั้น ทรวงอก ช่วงไหล่ แขน เอว และสะโพกยังอยู่ในส่วนที่พอเหมาะสวยงาม ชาวเงือกมีพัฒนาการช้ามาก จึงไม่อาจเดาอายุที่แท้จริงได้ เงือกที่อ่อนเยาว์ใช้เวลานานมาก กว่าจะถึงวัยรุ่น แล้วยังได้ใช้ชีวิตตอนนี้อย่างมีความสุขอีกนาน กว่าจะถึงวัยสาวเต็มที่ และยังคงอยู่ในสภาพความเป็นสาวเช่นนี้ไปนานนับปีๆทีเดียว ส่วนพวกนายเงือกก็หล่อเหลาเอาการ พวกนี้ดูบึกบึน ร่างกายเต็มไปด้วยขนและแลดูคล้ำกว่าพวกที่เป็นเพศเมีย การปรากฏตัวของมันก็ดูอ่อนโยนกว่าบุคลิกมากทีเดียว

เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ แต่มีอำนาจเหนือธรรมชาติอันอาจทำให้เป็นอมตะ และสามารถทำนายอนาคตได้ นอกจากนี้แล้วมันจะเห็นแก่ตัว ไร้สาระ และขี้อิจฉาริษยา

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือกเป็นเรื่องซับซ้อนเกินเข้าใจในเมื่อสายพันธุ์ทั้งสองต่างก็ประทับใจในความงามของร่างกายของแต่ละฝ่าย เรื่องราวความรักระหว่างเงือกกับมนุษย์มักจะมีให้ฟังเสมอ แต่ความที่บุคลิกและการดำรงชีวิตกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ความสัมพันธ์แต่ละครั้งมักจะจบลงด้วยความเศร้า นางเงือกไม่สามารถทนอยู่กับมนุษย์ผู้ชายได้นาน ด้วยความที่รักอิสระเสรี เธอจะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นบนบกเป็นสิ่งที่น่ายุ่งยาก นางเงือกจะไม่ทำงานบ้าน สิ่งเดียวที่เธอทำก็คือ นั่งส่องกระจก หวีผม และลองทำผมทรงใหม่ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้รักจืดจาง (ก็มนุษย์ผู้ชายยกงานบ้านให้ผู้หญิงหมดนิ) เธอจะเริ่มรู้สึกชิงชังการพูดซุบซิบนินทาของมนุษย์จนต้องหนีลงทะเลและเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนเก่า หวีผมและร้องเพลงกันที่ริมหาดเหมือนเดิม

เชื้อสายของนางเงือกและมนุษย์จะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วยทำให้ว่ายน้ำได้คล่องแคล่ว แต่ก็เล่นเกมอื่นไม่เก่ง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นางเงือกและลูกๆละทิ้งฝั่งไปรวมกับสังคมเดิมในเวลาต่อมา

เป็นที่ทราบกันดีว่านางเงือกนั้นจะทำการแก้แค้นอย่างโหดร้ายทารุณ หากถูกขัดขวางหรือดูถูก ชาวประมงที่เคยมีเมียเป็นเงือกไม่ควรออกทะเลอีกต่อไปหลังจากที่หล่อนจากไปแล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันจับปลาได้อีกเลย ยิ่งกว่านั้นทั้งเรือและตัวเขาเองอาจถูกทำลายทิ้งกลางทะเลด้วยหากยังดื้อดึงที่จะออกทะเลต่อไป (เพราะพวกเธอถือว่าที่ชีวิตคู่ไปกันไม่รอด เป็นความผิดของอีกฝ่าย)

ชุมชนประมงชายฝั่งมักจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนางเงือก เพราะรู้ว่านางเงือกมีอำนาจการหยั่งรู้ พวกนี้เลยต้องการให้เธอช่วยทำนายอนาคตให้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของอากาศ หรือแหล่งที่มีปลาชุกชุม ส่วนค่าจ้างของนางเงือกไม่ได้ว่ากันเป็นเงิน แต่เธอจะทำงานแลกกับหวีทองและกระจกทองเท่านั้น

ในบางกรณีพวกเงือกแสดงตนเชื่อมโยงกับลูกมนุษย์โดยสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี พวกนี้พร้อมที่จะลงโทษใตรก็ตามที่รบกวนเด็กให้ได้รับความเจ็บไข้ทุกรูปแบบ

แต่บางตำนานก็เล่ากันว่านางเงือกคือนางฟ้าฝ่ายอธรรม ที่ใช่เสียงอันไพเราะหลอกล่อให้ชายหลงใหล เมื่อกล่อมจนหลับแล้ว เธอก็จะฉีกเนื้อของพวกเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยฟันอันแหลมคม กินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้น


ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81-mermaid/

ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda)



ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda) เป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ

ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"

ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ

ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ

1. ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก

2. ตัวเป็นคน หัวเป็นนก

3. ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก

4. ตัวเป็นนก หัวเป็นคน

5. รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว

ตำนานของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าพญาครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญาครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง

ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง

ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำหนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู คงรอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกมาจากไข่เอง


ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%91%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%91-garuda/

มังกรจีน


เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง

เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะผันแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ (chiao) หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย

มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้ ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร

มังกรจีนโบราณในตำนาน

ตำนานมังกรจีนโบราณมีอายุยาวนานกว่า 4,000 ปี ซึ่งลักษณะรูปร่างของมังกรจีนนั้น สุดแล้วแต่นักวาดรูปจะจินตนาการเสริมแต่งออกมา การขายจินตนาการของนักวาดรูปจะเขียนมังกรออกมาโดยยึดลักษณะรูปแบบที่เล่าต่อ ๆ กันมาคือ มังกรจีนจะมีลักษณะลำตัวที่ยาวเหมือนงู มีเกล็ดสีเขียว นัยน์ตาสีแดง มีหนวดและเขาอย่างละคู่ มีขา 4 ขาและกงเล็บที่แข็งแรง มังกรจีนโบราณถูกยกย่องว่าเป็นสัตว์เทพเจ้าซึ่งชาวจีนเคารพนับถือ เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าในลัทธิเต๋า ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์ มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ของจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มังกรบางตัวจะถือไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า ครั้งหนึ่งคนเคยคิดว่าไข่มุกคือไข่ของมังกร มังกรบางชนิดวางไข่ในน้ำไหล

มังกรจีนในตำนานนั้น สามารถที่จะทำตัวเองให้มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาลหรือมีขนาดเล็กเท่ากับหนอนไหมได้ และในบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของจีน มังกรจีนถือเป็นสัตว์แห่งเทพเจ้า ได้รับความนับถือมากที่สุด มังกรจีนมีลักษณะนิสัยที่เมตตากรุณา เป็นมิตร ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังมีความฉลาด มีปัญญามาก มีความเด็ดขาด และมีพลัง มังกรจีนจึงเป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ แต่มังกรจีนมีทิฐิในตัว จะถือตัวว่าถูกหมิ่นประมาทเมื่อผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีน หรือเมื่อผู้คนไม่ให้เคารพความสำคัญ มังกรจีนจะทำให้ฝนหยุดตก หรือเป่าเมฆดำออกมาซึ่งจะนำพาพายุ และน้ำท่วมมาให้ มังกรตัวเล็กก็ทำเรื่องยุ่งยากเล็ก ๆ เช่นทำหลังคารั่ว หรือทำให้ข้าวเกิดความเหนอะหนะ

มังกรจริง ๆ ในปัจจุบันก็คือซากของไดโนเสาร์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งกลายเป็นหิน ไข่ไดโนเสาร์ถูกค้นพบในหลายพื้นที่ในประเทศจีน ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีไดโนเสาร์มากที่สุดในโลกในสมัยโบราณใช้ในการประกอบเป็นยาสมุนไพร เรียกกันว่า "ยากระดูกมังกร" ส่วนไข่ของมังกรจีนนั้นในสมัยเฉียนหลง ถือเอาไข่มังกรจีนเป็นเครื่องรางประจำราชสำนักภายในพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อมาเมื่อพระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็ตกทอดมาจากประเทศจีนมาอยู่ที่ประเทศไทย

ซึ่งไข่มังกรที่ตกทอดมาอยู่ภายในประเทศไทยนั้น มีตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณว่า เมื่อคณะทูตหรือคณะผู้แทนจากประเทศจีนใช้เรือไฮจี่โดยการนำของ ยังชีขี มีผู้ติดตามมาด้วยจำนวน 449 คน มีทหารประจำเรือ 279 คน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เมื่อเวลาบ่ายโมงของวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร หรือ ฮวด โชติกะพุกกณะ หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้จัดการประสานงาน และเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

ตามลักษณะของไข่มังกรที่สืบทอดกันมาเป็นตำนานนั้น มีลักษณะคล้ายกับลูกแก้วหินผลึกคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดของประเทศไทยแต่ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยมและห่อหุ้มคล้ายกับห่อด้วยแก้วนั่นเอง ทำให้เรื่องของไข่มังกรจีนกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันพอสมควรในสมัยนั้น

กำเนิดมังกรจีน

ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง" ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย

เนื่องจากมังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าในสรวงสวรรค์และเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ ผู้เป็นโอรสจุติมาจากสวรรค์ ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าหากผู้ที่ได้พบเห็นมังกร จะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองมาก ผู้ที่มีโอกาสจะได้ขี่หลังมังกรจะต้องเป็นคนมีศีล มีสัตย์ มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ถึงจะมีมังกรมารับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ ในสมัยโบราณนั้นชาวจีนได้มีการจัดทำ ตำรามังกร ขึ้นมา ซึ่งเป็นการรวบรวมในรายละเอียดส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์และลักษณะของมังกรไว้อย่างละเอียดที่สุด แต่เนื่องมาจากตำราเหล่านั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว การศึกษาเรื่องของมังกรจีนในปัจจุบัน จึงเป็นเพียงแค่การศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนเท่านั้น

ตามตำนานในสมัยโบราณของจีน มี เจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา มีลักษณะลำตัวเป็นคน แต่หัวเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าว่ามีลำตัวตัวท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เมื่อเจ้าแม่นึ่งออสิ้นอายุไข นางได้ตายไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลับไม่เน่าเปื่อย และเมื่อมีคนลองเอามีดผ่าท้องของนางดู ก็ปรากฏมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป

ตามตำราดึกดำบรรพ์ของจีนกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี (หรือเมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล) มีตำนานกล่าวกันไว้ว่า มีมังกรอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวงเป็นระยะเวลาหลายพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วมังกรตัวนั้นก็คือ พระเจ้าฟูฮี แปลงร่างนั่นเอง พระเจ้าฟูฮีนั้นป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ทรงคิดประดิษฐ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น "โป๊ย-ก่วย" หรือ ยันต์แปดทิศ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่ให้ชายหญิงมีการมั่นหมายกันเป็นคู่ครองอีกด้วย

ในหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวกันไว้ว่า มังกรนั้นได้ถือกำเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนไว้เป็นผืนเดียวกัน โดยพระองค์ได้ทรงสร้างจินตนาการรูปมังกรขึ้นมา จากการรวมสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าเผ่าต่าง ๆ ได้รวมกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอึ่งตี่สิ้นอายุไข ก็มีมังกรจากฟ้าลงมารับพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์ โดยบางตำราได้กล่าวว่าพระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ในเวลาต่อมา เพราะเหตุนี้ชาวจีนจึงถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง

  ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99/

มนุษย์หมาป่า (Werewolf)


มนุษย์หมาป่า (Werewolf) เป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์และมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์และสัตว์อื่นเป็นอาหาร เป็นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของชาวยุโรปในยุคกลาง โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง อาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวเลยก็ได้ หรือครึ่งคนครึ่งหมาป่า หรือแม้กระทั่งแปลงเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น โดยที่วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่าจะคล้าย ๆ กับแวมไพร์ โดยตอกด้วยลิ่ม หรือเผา ที่เห็นบ่อยโดยเฉพาะในภาพยนตร์ก็คือ การยิงด้วยกระสุนที่ทำจากเงินหรือกระสุนผ่านการปลุกเสก มนุษย์หมาป่าก็แพ้แสงแดด[ต้องการแหล่งอ้างอิง] และถูกตามล่าเหมือนกับแวมไพร์


เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่านั้น มีที่มาจากความกลัวหมาป่า โดยเฉพาะหมาป่าที่พบในยุโรป ที่มีลำตัวขนาดใหญ่ และมักออกล่าเป็นฝูง โดยอาจดักซุ่มโจมตีมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงในเวลากลางคืน ผนวกกับความเชื่อและความหวาดกลัวบุคคลนอกสังคม ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ อย่างแม่มดหรือแวมไพร์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เรื่องมนุษย์หมาป่านั้น แท้จริงแล้วคือ สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ รากศัพท์ที่มาของคำว่า มนุษย์หมาป่า นั้น Were เป็นภาษาอังกฤษโบราณที่หมายถึง "มนุษย์" นั่นเอง และความเชื่อเรื่องของมนุษย์ที่กลางร่างเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์ที่มีทั่วทุกมุมโลก เช่น ในอเมริกาใต้มีมนุษย์งูเหลือม หรือมนุษย์จระเข้ ที่แอฟริกามีมนุษย์เสือดาว หรือเสือดำ หรือปีศาจช้าง ที่อินเดียมีมนุษย์สิงโต หรือ "นรสิงห์" นั่นเอง หรือในเทพปกรณัมกรีก ก็มีเรื่องของชายผู้หนึ่งที่ถูกเทพซุสสาบให้กลายเป็นหมาป่า ชื่อ "Lycaon" มนุษย์บางเผ่าเช่น ไวกิ้ง เชื่อว่า ตนสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าดุร้ายบางชนิดได้เวลาสู้รบ เป็นต้น และตามสถิติที่เก็บได้ บ่งว่า คืนวันพระจันทร์เต็มดวงนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดอาชญากรรมมากกว่าคืนทั่วไป ทั้งนี้เชื่อว่า อาจเป็นเพราะอิทธิพลของดวงจันทร์

เรื่องราวของมนุษย์หมาป่า ถูกเล่าขานมาจนปัจจุบัน และสะท้อนออกมาในรูปแบบของวรรณกรรม เช่น ภาพยนตร์ หรือ ละคร หรือแม้แต่กระทั่งการ์ตูน เป็นต้น

นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า มนุษย์หมาป่านั้น แท้ที่จริงก็คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์บางคนนั่นเอง คำว่า WEREWOLF ที่หมายถึงมนุษย์หมาป่านั้นก็มาจากคำว่า

เวอร์ (WERE) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า “คน” และแทบจะทุกชาติทุกภาษาก็จะมีตำนานของคนที่กลายเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ มากมาย เช่น รัสเซียกับสแกนดิเนเวียจะมี “มนุษย์หมี” บางประเทศที่ไม่มีหมาป่าก็อาจมีมนุษย์สิงห์ มนุษย์จระเข้ มนุษย์จิ้งจอก อาทิ ในปี ค.ศ.1933 แพทย์อังกฤษคนหนึ่งได้รายงานว่าเขาได้เห็นชาวแอฟริกา 2 คน แปรร่างกลายเป็นหมาจิ้งจอกในระหว่างการทำพิธีกรรมทางศาสนา

สำหรับในเอเชียของเรา เช่น อินเดีย จะมีการพูดถึงมนุษย์เสือ ซึ่งก็อาจเป็นประเภทเดียวกับเสือสมิงของไทยเรานะครับ นอกจากนี้ก็มี “มนุษย์งู” ทางแถบอเมริกาใต้ โฮ้ย…แทบทุกประเภทสัตว์ละครับ ทีนี้ทำไมคนเราถึงอยู่ๆ ก็กลายร่างเป็นหมาป่าไปได้ จากการค้นคว้าในตำนานพบว่าเกิดขึ้นได้จากการใช้คาถาปลอมแปลงตัว บางรายใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ลูบไล้ร่างกาย และประกอบกับการสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่า หรือเอาเข็มขัดหนังหมาป่ามาคาดเอว แต่ที่มักจะตรงกันก็คือเขาผู้นั้นจะกลายร่างในคืนวันเพ็ญ

ผสมผสานกับการได้กลิ่นอายของดอกไม้พิเศษบางชนิด ร่างกายเขาผู้นั้นจะปรากฏขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมหูจะยาวตั้งตรงชี้ฟ้า และเขี้ยวแหลมคมงอกออกมาจากปาก ดวงตาโชนแดงฉานเมื่อต้องแสงไฟ ครั้นแล้วเขาก็จะออกล่าเหยื่อเพื่อกินเนื้อสดๆหรือดื่มเลือดทั้งเป็น

จากบันทึกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส สามารถสืบย้อนหลังไปได้ถึงใน ค.ศ.1573 เมื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องหวาดผวาจากการมีเด็กหลายคน ถูกสังหารและฆาตกรได้กินเนื้อหนังศพ ทางการจับผู้ต้องสงสัยได้นามว่า กิลส์ การ์นิเยร์ เขาต้องยอมรับสารภาพเนื่องจากถูกทรมาน แล้วก็เลยโดนลงทัณฑ์ด้วยการเผาทั้งเป็น

ต่อมาไม่นานคือ ค.ศ.1589 คราวนี้ที่เยอรมัน เมื่อชายชื่อ ปีเตอร์ สตับบ์ ถูกตั้งข้อหาว่าปลอมแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยใช้เข็มขัดหนังหมาป่ามาคาด เขาได้กระทำฆาตกรรมทั้งบุรุษ สตรี และเด็กๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 25 ปีก่อนจะถูกจับ สตับบ์รับสารภาพและให้การว่า สำหรับผู้หญิงนั้น เขาลงมือข่มขืนก่อนแล้วจึงฆ่า จากนั้นจึงกินศพของเธอ สตับบ์ถูกตัดสินให้ประหารอย่างต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนจะสิ้นใจ

แต่รายที่เกรียวกราวที่สุดเห็นจะได้แก่เด็กหนุ่มวัยแค่14 ปี นาม ชอง เกรนิเยร์ ซึ่งก่ออาชญากรรมอยู่ในแถบมณฑลบอโดซ์, ฝรั่งเศส เขาสารภาพว่าได้กินเนื้อเด็กที่ถูกเขาฆ่ามากกว่า 50 คน ระหว่างให้การในศาลนั้นเขาได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ร่วมฟังคดี เพราะเล่าว่า เขาเคยไล่ล่าหญิงชราผู้หนึ่งแล้วก็พบว่าเนื้อเหี่ยวย่นของนางนั้น “เหนียวเหมือนหนังควาย” นอกจากนี้ยังเล่าอีกว่าสำหรับเด็กเล็กๆ นั้น พอถูกเขากัดคำแรกก็จะร้องโหยหวนจนแสบแก้วหูด้วยความเจ็บปวด

คดีนี้หนแรกเกรนิเยร์ถูกพิพากษาให้เผาทั้งเป็น หากทว่าพอเรื่องขึ้นถึงศาลสูง ผู้พิพากษารับฟังคำให้การของเกรนิเยร์ที่ว่า “ตอนผมอายุ 10 ขวบ เพื่อนบ้านได้พาผมไปพบกับเจ้าป่าผู้หนึ่ง ท่านได้ มอบหนังสุนัขป่าให้แก่ผม ตั้งแต่นั้นผมก็ออกล่าเหยื่อไปทั่ว” ผู้พิพากษาได้ปรึกษากับจิตแพทย์แล้วสรุปว่าเกรนิเยร์ นั้นป่วยจากอาการประสาทหลอนจึงไม่มีความผิด และส่งเด็กหนุ่มไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งตลอดชีวิต

นอกจากมนุษย์หมาป่าเดี่ยวๆ แล้ว ที่ฝรั่งเศสก็ยังมีชนเผ่ามนุษย์หมาป่า ที่เรียกขานกันว่าพวก ลูแปง อีกด้วย ร่ำลือกันว่าคนพวกนี้มีถิ่นฐานอยู่ที่นอร์มังดี ในยามค่ำคืนพวกเขาจะจับกลุ่มกันสนทนาด้วยภาษาแปลกๆ ชอบยืนพิงกำแพงสุสานของเมือง หากทว่ามนุษย์หมาป่าลูแปงกลัวเกรงมนุษย์และจะหลีกลี้หนีไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ผ่านมา ว่ากันว่าพวกลูแปงจะใช้มือเปล่าๆ ขุดคุ้ยหลุมศพและโลง แล้วเอากระดูกศพขึ้นมาแทะ

สำหรับมนุษย์ที่แปลงร่างเป็นหมาป่า ในคืนเพ็ญและออกอาละวาดนั้น เขาจะคืนร่างกลับเป็นคนเดิม หรือเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองให้พ้นภัยจากพวกนี้ได้อย่างไร ตามตำนานระบุว่า มนุษย์หมาป่าจะคืนร่างโดยอัตโนมัติในยามอาทิตย์อุทัย และแทบทุกตำนานกล่าวตรงกันว่าร่างของพวกเขา จะกลับเป็นคนธรรมดาทันทีเมื่อได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าตาย

บางรายมีบันทึกว่ามีผู้ยิงถูกมนุษย์หมาป่าและต่อมาก็พบว่าชายผู้หนึ่งในหมู่บ้านมีบาดแผลที่ตำแหน่งเดียวกับหมาป่าที่ถูกยิง

แม้มนุษย์หมาป่าจะดูน่าเกรงขาม แต่ตำนาน ส่วนใหญ่เชื่อว่า การตามล่าและสังหารพวกเขานั้นไม่ยาก ไม่ต่างอะไรกับการไล่ล่าหมาป่าธรรมดาๆ มีหลายเรื่องของยุโรปที่เขียนบอกไว้ถึงการสังหารมนุษย์หมาป่า ด้วยการยิง ทุบตี และแทงด้วยมีด ทว่าก็มีบางตำนานเหมือนกันที่แย้งว่ามนุษย์หมาป่านั้น มีวิญญาณปิศาจสิงอยู่จึงไม่อาจถูกฆ่าด้วยวิธีทั่วไป ทั้งนี้ ในอังกฤษ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส เชื่อว่ามนุษย์หมาป่าจะไม่ตายด้วยกระสุนปืนธรรมดา จะฆ่าได้ก็ด้วยกระสุนปืนที่ทำจากโลหะเงินเท่านั้น โดยเฉพาะถ้ากระสุนเงินนั้นผ่านการลงคาถาอาคมมาแล้ว

ในยามที่ต้องเผชิญหน้าจ๊ะเอ๋กับมนุษย์ หมาป่าโดยบังเอิญ ท่านว่าให้รีบตะโกนเรียกชื่อเขาผู้นั้น (ถ้าเรารู้ว่าเป็นใครที่เปลี่ยนร่าง)

สามครั้ง เขาก็จะรู้สึกตัวและกลับคืนสู่ร่างเดิม หรือถ้าหากสามารถทำให้เขาเลือดออกถึงสามหยดก็จะได้ผลเช่นกัน สำหรับตัวมนุษย์หมาป่าเอง ถ้าหากอยากคืนกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างถาวร ก็จะต้องงดเว้นการกินเนื้อมนุษย์เป็นระยะเวลาเก้าปีเต็ม แล้วอำนาจปิศาจที่สิงสู่ก็จะมลายหายไป

  ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%a9%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b9%88%e0%b8%b2-werewolf/

นาค หรือ พญานาค



นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

ความเชื่อเกี่ยวกับลักษณะและคุณสมบัติ พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้ พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์ พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี


ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84-%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84/