2.9.55
เงือก (mermaid)
เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง
บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา)
ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง
ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเป็นลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง ผู้คนมักจินตนาการว่าไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุธ คอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญาว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล
แต่ตำนานที่เก่าแก่กว่าเล่าว่า ชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน (อาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีศีรษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมปลา)
โอนเนสจะปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลในยามเช้าและกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวัน ต่อมา เทพอียา(Ea) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียา เป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส (Atargartis) เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆของชาวบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะจมหายลงไปในทะเล ดังนั้นเทพเจ้าของเขาจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ความลึกลับนี้สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านทางเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้นเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยงกันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนางเงือกมีความแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น
เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มก่อตั้งขึ้น ตำนานนางเงือกได้เปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้น นางเงือกสามารถที่จะมีชีวิตจิตใจ และวิญญาณได้ แต่จะต้องสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป ไม่คิดจะกลับคืนสู่ท้องทะเลอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงถือเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง
มีเรื่องราวอันน่าเศร้าใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนางเงือก ซึ่งไปเยี่ยมเยียนนักบวชรูปหนึ่งอยู่เป็นประจำ ณ สถานที่อันเป็นที่เคารพสักการะในเกาะไอโอนา (Iona) เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์
เธอได้ขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น และนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้แก่เธอ แต่เธอจะต้องละทิ้งท้องทะเลของเธอตลอดไป แม้ว่าเธอจะปรารถนาชีวิตและจิตใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งทะเลไปได้ ตอนจบค่อนข้างเศร้าเล็กน้อย เธอได้ไปจากเกาะนั้น และน้ำตาของเธอได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทา หากมีใครพบก้อนกรวดดังกล่าวบนเกาะไอโอนา ก็จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คือน้ำตาของนางเงือก
ชาวประมงมักจะเห็นเงือกอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาที่คลื่นลมแรงจัด พวกนี้กล่าวว่าไม่มีอะไรจะงามเตะตาเท่ากับที่ได้เห็นกลุ่มเงือกทุกวัยโลดแล่นอยู่ในทะเลที่กำลังมีคลื่นลม ร่างกายสีเงินยวงของพวกนี้ดูระยิบระยับเหนือคลื่น ดวงตาสีเขียวเป็นประกายสนุกสนานยามเมื่อไถลตัวลงตามคลื่น
แม้ว่าเงือกจะอาศัยอยู่ใต้ทะเล แต่ก็สามารถทำตัวสบายๆเมื่ออยู่แผ่นดินได้เหมือนกัน พวกนี้มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง แต่ก็สามารถพูดภาษาคนของแผ่นดินที่มันอาศัยอยู่ใกล้ที่สุดได้เช่นกัน ว่ากันตามอุปนิสัยแล้ว นางเงือกที่มักจะชอบขึ้นมาเที่ยวชายฝั่ง ก็แค่มานั่งหวีผมที่ยาวสลวย ฟังเสียงทะเลและนกร้องเท่านั้น เงือกเป็นสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ฉลาดที่สุดและว่องไวเกินกว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งยากใดๆ เงือกกินปลาและอาหารทะเลอื่นๆแต่ก็ไม่เคยเข่าไปข้องแวะในกิจกรรมของชาวประมง ยกเว้นแต่ว่ามนุษย์ไปรุกรานเงือกเข้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น
นางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่น่าสนใจ เพราะมีความสวยสะดุดตาและมีความลึกลับที่น่าค้นหา พวกนี้มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับ เรียกว่า "สตรอเบอรีบลอนด์" มีดวงตากลมโตสีเขียว หรือเขียวอมฟ้าเหมือนน้ำทะเล ผิวเนื้อส่วนที่เป็นคน ขาวบริสุทธ์ผุดผ่องเหมือนไข่มุก เมื่อลงไปอยู่ในทะเลก็จะเหลือบเป็นสีเงิน ยิ่งกว่านั้น ทรวงอก ช่วงไหล่ แขน เอว และสะโพกยังอยู่ในส่วนที่พอเหมาะสวยงาม ชาวเงือกมีพัฒนาการช้ามาก จึงไม่อาจเดาอายุที่แท้จริงได้ เงือกที่อ่อนเยาว์ใช้เวลานานมาก กว่าจะถึงวัยรุ่น แล้วยังได้ใช้ชีวิตตอนนี้อย่างมีความสุขอีกนาน กว่าจะถึงวัยสาวเต็มที่ และยังคงอยู่ในสภาพความเป็นสาวเช่นนี้ไปนานนับปีๆทีเดียว ส่วนพวกนายเงือกก็หล่อเหลาเอาการ พวกนี้ดูบึกบึน ร่างกายเต็มไปด้วยขนและแลดูคล้ำกว่าพวกที่เป็นเพศเมีย การปรากฏตัวของมันก็ดูอ่อนโยนกว่าบุคลิกมากทีเดียว
เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ แต่มีอำนาจเหนือธรรมชาติอันอาจทำให้เป็นอมตะ และสามารถทำนายอนาคตได้ นอกจากนี้แล้วมันจะเห็นแก่ตัว ไร้สาระ และขี้อิจฉาริษยา
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือกเป็นเรื่องซับซ้อนเกินเข้าใจในเมื่อสายพันธุ์ทั้งสองต่างก็ประทับใจในความงามของร่างกายของแต่ละฝ่าย เรื่องราวความรักระหว่างเงือกกับมนุษย์มักจะมีให้ฟังเสมอ แต่ความที่บุคลิกและการดำรงชีวิตกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ความสัมพันธ์แต่ละครั้งมักจะจบลงด้วยความเศร้า นางเงือกไม่สามารถทนอยู่กับมนุษย์ผู้ชายได้นาน ด้วยความที่รักอิสระเสรี เธอจะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นบนบกเป็นสิ่งที่น่ายุ่งยาก นางเงือกจะไม่ทำงานบ้าน สิ่งเดียวที่เธอทำก็คือ นั่งส่องกระจก หวีผม และลองทำผมทรงใหม่ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้รักจืดจาง (ก็มนุษย์ผู้ชายยกงานบ้านให้ผู้หญิงหมดนิ) เธอจะเริ่มรู้สึกชิงชังการพูดซุบซิบนินทาของมนุษย์จนต้องหนีลงทะเลและเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนเก่า หวีผมและร้องเพลงกันที่ริมหาดเหมือนเดิม
เชื้อสายของนางเงือกและมนุษย์จะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วยทำให้ว่ายน้ำได้คล่องแคล่ว แต่ก็เล่นเกมอื่นไม่เก่ง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นางเงือกและลูกๆละทิ้งฝั่งไปรวมกับสังคมเดิมในเวลาต่อมา
เป็นที่ทราบกันดีว่านางเงือกนั้นจะทำการแก้แค้นอย่างโหดร้ายทารุณ หากถูกขัดขวางหรือดูถูก ชาวประมงที่เคยมีเมียเป็นเงือกไม่ควรออกทะเลอีกต่อไปหลังจากที่หล่อนจากไปแล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันจับปลาได้อีกเลย ยิ่งกว่านั้นทั้งเรือและตัวเขาเองอาจถูกทำลายทิ้งกลางทะเลด้วยหากยังดื้อดึงที่จะออกทะเลต่อไป (เพราะพวกเธอถือว่าที่ชีวิตคู่ไปกันไม่รอด เป็นความผิดของอีกฝ่าย)
ชุมชนประมงชายฝั่งมักจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนางเงือก เพราะรู้ว่านางเงือกมีอำนาจการหยั่งรู้ พวกนี้เลยต้องการให้เธอช่วยทำนายอนาคตให้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของอากาศ หรือแหล่งที่มีปลาชุกชุม ส่วนค่าจ้างของนางเงือกไม่ได้ว่ากันเป็นเงิน แต่เธอจะทำงานแลกกับหวีทองและกระจกทองเท่านั้น
ในบางกรณีพวกเงือกแสดงตนเชื่อมโยงกับลูกมนุษย์โดยสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี พวกนี้พร้อมที่จะลงโทษใตรก็ตามที่รบกวนเด็กให้ได้รับความเจ็บไข้ทุกรูปแบบ
แต่บางตำนานก็เล่ากันว่านางเงือกคือนางฟ้าฝ่ายอธรรม ที่ใช่เสียงอันไพเราะหลอกล่อให้ชายหลงใหล เมื่อกล่อมจนหลับแล้ว เธอก็จะฉีกเนื้อของพวกเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยฟันอันแหลมคม กินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้น
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81-mermaid/
ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda)
ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda) เป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"
ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ
ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
1. ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
2. ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
3. ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
4. ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
5. รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
ตำนานของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าพญาครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญาครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง
ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง
ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำหนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู คงรอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกมาจากไข่เอง
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%91%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%91-garuda/
มังกรจีน
เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง
เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะผันแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ (chiao) หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย
มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้ ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร
มังกรจีนโบราณในตำนาน
ตำนานมังกรจีนโบราณมีอายุยาวนานกว่า 4,000 ปี ซึ่งลักษณะรูปร่างของมังกรจีนนั้น สุดแล้วแต่นักวาดรูปจะจินตนาการเสริมแต่งออกมา การขายจินตนาการของนักวาดรูปจะเขียนมังกรออกมาโดยยึดลักษณะรูปแบบที่เล่าต่อ ๆ กันมาคือ มังกรจีนจะมีลักษณะลำตัวที่ยาวเหมือนงู มีเกล็ดสีเขียว นัยน์ตาสีแดง มีหนวดและเขาอย่างละคู่ มีขา 4 ขาและกงเล็บที่แข็งแรง มังกรจีนโบราณถูกยกย่องว่าเป็นสัตว์เทพเจ้าซึ่งชาวจีนเคารพนับถือ เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าในลัทธิเต๋า ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์ มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ของจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มังกรบางตัวจะถือไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า ครั้งหนึ่งคนเคยคิดว่าไข่มุกคือไข่ของมังกร มังกรบางชนิดวางไข่ในน้ำไหล
มังกรจีนในตำนานนั้น สามารถที่จะทำตัวเองให้มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาลหรือมีขนาดเล็กเท่ากับหนอนไหมได้ และในบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของจีน มังกรจีนถือเป็นสัตว์แห่งเทพเจ้า ได้รับความนับถือมากที่สุด มังกรจีนมีลักษณะนิสัยที่เมตตากรุณา เป็นมิตร ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังมีความฉลาด มีปัญญามาก มีความเด็ดขาด และมีพลัง มังกรจีนจึงเป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ แต่มังกรจีนมีทิฐิในตัว จะถือตัวว่าถูกหมิ่นประมาทเมื่อผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีน หรือเมื่อผู้คนไม่ให้เคารพความสำคัญ มังกรจีนจะทำให้ฝนหยุดตก หรือเป่าเมฆดำออกมาซึ่งจะนำพาพายุ และน้ำท่วมมาให้ มังกรตัวเล็กก็ทำเรื่องยุ่งยากเล็ก ๆ เช่นทำหลังคารั่ว หรือทำให้ข้าวเกิดความเหนอะหนะ
มังกรจริง ๆ ในปัจจุบันก็คือซากของไดโนเสาร์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งกลายเป็นหิน ไข่ไดโนเสาร์ถูกค้นพบในหลายพื้นที่ในประเทศจีน ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีไดโนเสาร์มากที่สุดในโลกในสมัยโบราณใช้ในการประกอบเป็นยาสมุนไพร เรียกกันว่า "ยากระดูกมังกร" ส่วนไข่ของมังกรจีนนั้นในสมัยเฉียนหลง ถือเอาไข่มังกรจีนเป็นเครื่องรางประจำราชสำนักภายในพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อมาเมื่อพระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็ตกทอดมาจากประเทศจีนมาอยู่ที่ประเทศไทย
ซึ่งไข่มังกรที่ตกทอดมาอยู่ภายในประเทศไทยนั้น มีตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณว่า เมื่อคณะทูตหรือคณะผู้แทนจากประเทศจีนใช้เรือไฮจี่โดยการนำของ ยังชีขี มีผู้ติดตามมาด้วยจำนวน 449 คน มีทหารประจำเรือ 279 คน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เมื่อเวลาบ่ายโมงของวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร หรือ ฮวด โชติกะพุกกณะ หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้จัดการประสานงาน และเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ตามลักษณะของไข่มังกรที่สืบทอดกันมาเป็นตำนานนั้น มีลักษณะคล้ายกับลูกแก้วหินผลึกคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดของประเทศไทยแต่ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยมและห่อหุ้มคล้ายกับห่อด้วยแก้วนั่นเอง ทำให้เรื่องของไข่มังกรจีนกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันพอสมควรในสมัยนั้น
กำเนิดมังกรจีน
ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง" ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย
เนื่องจากมังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าในสรวงสวรรค์และเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ ผู้เป็นโอรสจุติมาจากสวรรค์ ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าหากผู้ที่ได้พบเห็นมังกร จะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองมาก ผู้ที่มีโอกาสจะได้ขี่หลังมังกรจะต้องเป็นคนมีศีล มีสัตย์ มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ถึงจะมีมังกรมารับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ ในสมัยโบราณนั้นชาวจีนได้มีการจัดทำ ตำรามังกร ขึ้นมา ซึ่งเป็นการรวบรวมในรายละเอียดส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์และลักษณะของมังกรไว้อย่างละเอียดที่สุด แต่เนื่องมาจากตำราเหล่านั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว การศึกษาเรื่องของมังกรจีนในปัจจุบัน จึงเป็นเพียงแค่การศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนเท่านั้น
ตามตำนานในสมัยโบราณของจีน มี เจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา มีลักษณะลำตัวเป็นคน แต่หัวเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าว่ามีลำตัวตัวท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เมื่อเจ้าแม่นึ่งออสิ้นอายุไข นางได้ตายไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลับไม่เน่าเปื่อย และเมื่อมีคนลองเอามีดผ่าท้องของนางดู ก็ปรากฏมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป
ตามตำราดึกดำบรรพ์ของจีนกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี (หรือเมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล) มีตำนานกล่าวกันไว้ว่า มีมังกรอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวงเป็นระยะเวลาหลายพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วมังกรตัวนั้นก็คือ พระเจ้าฟูฮี แปลงร่างนั่นเอง พระเจ้าฟูฮีนั้นป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ทรงคิดประดิษฐ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น "โป๊ย-ก่วย" หรือ ยันต์แปดทิศ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่ให้ชายหญิงมีการมั่นหมายกันเป็นคู่ครองอีกด้วย
ในหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวกันไว้ว่า มังกรนั้นได้ถือกำเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนไว้เป็นผืนเดียวกัน โดยพระองค์ได้ทรงสร้างจินตนาการรูปมังกรขึ้นมา จากการรวมสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าเผ่าต่าง ๆ ได้รวมกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอึ่งตี่สิ้นอายุไข ก็มีมังกรจากฟ้าลงมารับพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์ โดยบางตำราได้กล่าวว่าพระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ในเวลาต่อมา เพราะเหตุนี้ชาวจีนจึงถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99/
มนุษย์หมาป่า (Werewolf)
เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่านั้น มีที่มาจากความกลัวหมาป่า โดยเฉพาะหมาป่าที่พบในยุโรป ที่มีลำตัวขนาดใหญ่ และมักออกล่าเป็นฝูง โดยอาจดักซุ่มโจมตีมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงในเวลากลางคืน ผนวกกับความเชื่อและความหวาดกลัวบุคคลนอกสังคม ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ อย่างแม่มดหรือแวมไพร์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เรื่องมนุษย์หมาป่านั้น แท้จริงแล้วคือ สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ รากศัพท์ที่มาของคำว่า มนุษย์หมาป่า นั้น Were เป็นภาษาอังกฤษโบราณที่หมายถึง "มนุษย์" นั่นเอง และความเชื่อเรื่องของมนุษย์ที่กลางร่างเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์ที่มีทั่วทุกมุมโลก เช่น ในอเมริกาใต้มีมนุษย์งูเหลือม หรือมนุษย์จระเข้ ที่แอฟริกามีมนุษย์เสือดาว หรือเสือดำ หรือปีศาจช้าง ที่อินเดียมีมนุษย์สิงโต หรือ "นรสิงห์" นั่นเอง หรือในเทพปกรณัมกรีก ก็มีเรื่องของชายผู้หนึ่งที่ถูกเทพซุสสาบให้กลายเป็นหมาป่า ชื่อ "Lycaon" มนุษย์บางเผ่าเช่น ไวกิ้ง เชื่อว่า ตนสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าดุร้ายบางชนิดได้เวลาสู้รบ เป็นต้น และตามสถิติที่เก็บได้ บ่งว่า คืนวันพระจันทร์เต็มดวงนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดอาชญากรรมมากกว่าคืนทั่วไป ทั้งนี้เชื่อว่า อาจเป็นเพราะอิทธิพลของดวงจันทร์
เรื่องราวของมนุษย์หมาป่า ถูกเล่าขานมาจนปัจจุบัน และสะท้อนออกมาในรูปแบบของวรรณกรรม เช่น ภาพยนตร์ หรือ ละคร หรือแม้แต่กระทั่งการ์ตูน เป็นต้น
นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า มนุษย์หมาป่านั้น แท้ที่จริงก็คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์บางคนนั่นเอง คำว่า WEREWOLF ที่หมายถึงมนุษย์หมาป่านั้นก็มาจากคำว่า
เวอร์ (WERE) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า “คน” และแทบจะทุกชาติทุกภาษาก็จะมีตำนานของคนที่กลายเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ มากมาย เช่น รัสเซียกับสแกนดิเนเวียจะมี “มนุษย์หมี” บางประเทศที่ไม่มีหมาป่าก็อาจมีมนุษย์สิงห์ มนุษย์จระเข้ มนุษย์จิ้งจอก อาทิ ในปี ค.ศ.1933 แพทย์อังกฤษคนหนึ่งได้รายงานว่าเขาได้เห็นชาวแอฟริกา 2 คน แปรร่างกลายเป็นหมาจิ้งจอกในระหว่างการทำพิธีกรรมทางศาสนา
สำหรับในเอเชียของเรา เช่น อินเดีย จะมีการพูดถึงมนุษย์เสือ ซึ่งก็อาจเป็นประเภทเดียวกับเสือสมิงของไทยเรานะครับ นอกจากนี้ก็มี “มนุษย์งู” ทางแถบอเมริกาใต้ โฮ้ย…แทบทุกประเภทสัตว์ละครับ ทีนี้ทำไมคนเราถึงอยู่ๆ ก็กลายร่างเป็นหมาป่าไปได้ จากการค้นคว้าในตำนานพบว่าเกิดขึ้นได้จากการใช้คาถาปลอมแปลงตัว บางรายใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ลูบไล้ร่างกาย และประกอบกับการสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่า หรือเอาเข็มขัดหนังหมาป่ามาคาดเอว แต่ที่มักจะตรงกันก็คือเขาผู้นั้นจะกลายร่างในคืนวันเพ็ญ
ผสมผสานกับการได้กลิ่นอายของดอกไม้พิเศษบางชนิด ร่างกายเขาผู้นั้นจะปรากฏขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมหูจะยาวตั้งตรงชี้ฟ้า และเขี้ยวแหลมคมงอกออกมาจากปาก ดวงตาโชนแดงฉานเมื่อต้องแสงไฟ ครั้นแล้วเขาก็จะออกล่าเหยื่อเพื่อกินเนื้อสดๆหรือดื่มเลือดทั้งเป็น
จากบันทึกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส สามารถสืบย้อนหลังไปได้ถึงใน ค.ศ.1573 เมื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องหวาดผวาจากการมีเด็กหลายคน ถูกสังหารและฆาตกรได้กินเนื้อหนังศพ ทางการจับผู้ต้องสงสัยได้นามว่า กิลส์ การ์นิเยร์ เขาต้องยอมรับสารภาพเนื่องจากถูกทรมาน แล้วก็เลยโดนลงทัณฑ์ด้วยการเผาทั้งเป็น
ต่อมาไม่นานคือ ค.ศ.1589 คราวนี้ที่เยอรมัน เมื่อชายชื่อ ปีเตอร์ สตับบ์ ถูกตั้งข้อหาว่าปลอมแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยใช้เข็มขัดหนังหมาป่ามาคาด เขาได้กระทำฆาตกรรมทั้งบุรุษ สตรี และเด็กๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 25 ปีก่อนจะถูกจับ สตับบ์รับสารภาพและให้การว่า สำหรับผู้หญิงนั้น เขาลงมือข่มขืนก่อนแล้วจึงฆ่า จากนั้นจึงกินศพของเธอ สตับบ์ถูกตัดสินให้ประหารอย่างต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนจะสิ้นใจ
แต่รายที่เกรียวกราวที่สุดเห็นจะได้แก่เด็กหนุ่มวัยแค่14 ปี นาม ชอง เกรนิเยร์ ซึ่งก่ออาชญากรรมอยู่ในแถบมณฑลบอโดซ์, ฝรั่งเศส เขาสารภาพว่าได้กินเนื้อเด็กที่ถูกเขาฆ่ามากกว่า 50 คน ระหว่างให้การในศาลนั้นเขาได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ร่วมฟังคดี เพราะเล่าว่า เขาเคยไล่ล่าหญิงชราผู้หนึ่งแล้วก็พบว่าเนื้อเหี่ยวย่นของนางนั้น “เหนียวเหมือนหนังควาย” นอกจากนี้ยังเล่าอีกว่าสำหรับเด็กเล็กๆ นั้น พอถูกเขากัดคำแรกก็จะร้องโหยหวนจนแสบแก้วหูด้วยความเจ็บปวด
คดีนี้หนแรกเกรนิเยร์ถูกพิพากษาให้เผาทั้งเป็น หากทว่าพอเรื่องขึ้นถึงศาลสูง ผู้พิพากษารับฟังคำให้การของเกรนิเยร์ที่ว่า “ตอนผมอายุ 10 ขวบ เพื่อนบ้านได้พาผมไปพบกับเจ้าป่าผู้หนึ่ง ท่านได้ มอบหนังสุนัขป่าให้แก่ผม ตั้งแต่นั้นผมก็ออกล่าเหยื่อไปทั่ว” ผู้พิพากษาได้ปรึกษากับจิตแพทย์แล้วสรุปว่าเกรนิเยร์ นั้นป่วยจากอาการประสาทหลอนจึงไม่มีความผิด และส่งเด็กหนุ่มไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งตลอดชีวิต
นอกจากมนุษย์หมาป่าเดี่ยวๆ แล้ว ที่ฝรั่งเศสก็ยังมีชนเผ่ามนุษย์หมาป่า ที่เรียกขานกันว่าพวก ลูแปง อีกด้วย ร่ำลือกันว่าคนพวกนี้มีถิ่นฐานอยู่ที่นอร์มังดี ในยามค่ำคืนพวกเขาจะจับกลุ่มกันสนทนาด้วยภาษาแปลกๆ ชอบยืนพิงกำแพงสุสานของเมือง หากทว่ามนุษย์หมาป่าลูแปงกลัวเกรงมนุษย์และจะหลีกลี้หนีไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ผ่านมา ว่ากันว่าพวกลูแปงจะใช้มือเปล่าๆ ขุดคุ้ยหลุมศพและโลง แล้วเอากระดูกศพขึ้นมาแทะ
สำหรับมนุษย์ที่แปลงร่างเป็นหมาป่า ในคืนเพ็ญและออกอาละวาดนั้น เขาจะคืนร่างกลับเป็นคนเดิม หรือเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองให้พ้นภัยจากพวกนี้ได้อย่างไร ตามตำนานระบุว่า มนุษย์หมาป่าจะคืนร่างโดยอัตโนมัติในยามอาทิตย์อุทัย และแทบทุกตำนานกล่าวตรงกันว่าร่างของพวกเขา จะกลับเป็นคนธรรมดาทันทีเมื่อได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าตาย
บางรายมีบันทึกว่ามีผู้ยิงถูกมนุษย์หมาป่าและต่อมาก็พบว่าชายผู้หนึ่งในหมู่บ้านมีบาดแผลที่ตำแหน่งเดียวกับหมาป่าที่ถูกยิง
แม้มนุษย์หมาป่าจะดูน่าเกรงขาม แต่ตำนาน ส่วนใหญ่เชื่อว่า การตามล่าและสังหารพวกเขานั้นไม่ยาก ไม่ต่างอะไรกับการไล่ล่าหมาป่าธรรมดาๆ มีหลายเรื่องของยุโรปที่เขียนบอกไว้ถึงการสังหารมนุษย์หมาป่า ด้วยการยิง ทุบตี และแทงด้วยมีด ทว่าก็มีบางตำนานเหมือนกันที่แย้งว่ามนุษย์หมาป่านั้น มีวิญญาณปิศาจสิงอยู่จึงไม่อาจถูกฆ่าด้วยวิธีทั่วไป ทั้งนี้ ในอังกฤษ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส เชื่อว่ามนุษย์หมาป่าจะไม่ตายด้วยกระสุนปืนธรรมดา จะฆ่าได้ก็ด้วยกระสุนปืนที่ทำจากโลหะเงินเท่านั้น โดยเฉพาะถ้ากระสุนเงินนั้นผ่านการลงคาถาอาคมมาแล้ว
ในยามที่ต้องเผชิญหน้าจ๊ะเอ๋กับมนุษย์ หมาป่าโดยบังเอิญ ท่านว่าให้รีบตะโกนเรียกชื่อเขาผู้นั้น (ถ้าเรารู้ว่าเป็นใครที่เปลี่ยนร่าง)
สามครั้ง เขาก็จะรู้สึกตัวและกลับคืนสู่ร่างเดิม หรือถ้าหากสามารถทำให้เขาเลือดออกถึงสามหยดก็จะได้ผลเช่นกัน สำหรับตัวมนุษย์หมาป่าเอง ถ้าหากอยากคืนกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างถาวร ก็จะต้องงดเว้นการกินเนื้อมนุษย์เป็นระยะเวลาเก้าปีเต็ม แล้วอำนาจปิศาจที่สิงสู่ก็จะมลายหายไป
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%a9%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b9%88%e0%b8%b2-werewolf/
นาค หรือ พญานาค
นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม
ความเชื่อเกี่ยวกับลักษณะและคุณสมบัติ พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้ พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์ พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84-%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad-%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84/
ยูนิคอร์น (Unicorn)
ยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นแรกเกิดมีขนสีทอง และจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย เขา เลือด และขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง
โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องแวะกับมนุษย์ และจะยอมให้แม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้น ยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้ ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและรักความสันโดษ เรื่องเล่าของยุโรประบุว่าการจับยูนิคอร์นนั้นต้องใช้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้จับยูนิคอร์น ซึ่งยูนิคอร์นจะลืมสัญชาตญาณป่าเถื่อนและเชื่องราวกับเป็นม้าธรรมดา
การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู
ยูนิคอร์นได้รับการแปลความหมายแทนสิ่งต่าง ๆ มากมาย เขาที่อยู่บนหัวถือเป็นสัญลักษณ์ของ พลัง อำนาจ ความเข้มแข็ง และความเป็นลูกผู้ชาย ในบางตำนานยูนิคอร์นเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ สะอาด บางตำนานเชื่อว่ายูนิคอร์นมีสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยง ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย นั่นคือ เขาของมันแทนเพศชาย และลำตัวแทนเพศหญิง ชื่อภาษาจีนของยูนิคอร์น คือ ki-lin ซึ่งแปลว่า ผู้ชาย-ผู้หญิง
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%a2%e0%b8%b9%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%99-unicorn/
นารีผล หรือมักกะลีผล
นารีผล หรือมักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา
เมื่อประมาณหลายหมื่นปีก่อน ครั้งที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี พร้อมด้วยบุตร ๒ คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ และบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น ที่ป่าหิมพานต์ มีสัตว์ป่ามากมายอันตรายรอบด้าน ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อได้รับเมตตาจิตจากพระเวสสันดร ก็คลายความดุร้ายลง กลายเป็นมิตร … นอกจากสัตว์ป่าทั้งหลายแล้ว ก็ยังมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ หรือไปมาอยู่เรื่อยๆ พระนางมัทรี ผู้มีรูปร่างโสภา บางครั้งออกหาอาหาร หาผลไม้ตามลำพังคนเดียว หากนักสิทธิ์ วิทยาธร ตลอดถึงฤๅษี มาพบเข้า อาจตบะแตก แล้วล่วงศีลได้…
ท้าวสักกะเทวราช ซึ่งเป็นพระอินทร์ เล็งเห็นเหตุร้ายนี้แล้ว เพื่อเป็นการป้องกัน พระองค์จึงเนรมิต ต้นไม้วิเศษ ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงถิ่นแดน อันเป็นที่พำนักของพระเวสสันดรและนางมัทรี รวม ๑๖ ต้น
ต้นไม้วิเศษนี้ ออกผลซึ่งมีรูปร่างเหมือนสตรี ผลโตเต็มที่ จะมีทรวดทรงปานสาวงามแรกรุ่น แต่ผิวพรรณ ทรวดทรงองค์เอว รูปร่างหน้าตา งดงามปานเทพธิดา…
ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย…
เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล… เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้ … เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี…. การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้….
นี่คือด่านป้องกัน ไม่ให้ใครไปล่วงศีลกับพระนางมัทรี และเทพธิดาที่จุติไปเกิดที่นารีผล แต่ละนางก็ไปด้วยกรรมของตน มิได้บังคับไปแต่อย่างใด
แม้ว่า พระเวสสันดร พระนางมัทรี จะเสด็จออกจากป่าเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผล ก็ยังคงมีอยู่ในที่นั้น ตราบเท่าทุกวันนี้ ยังมีดอกหอมกรุ่น มีนารีผลห้อยระย้าอยู่ดังเดิม แม้ลูกที่หมดอายุขัยจะร่วงหล่นเหี่ยวเฉาไป ลูกใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ไม่ได้ขาด
ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่… หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี
และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา
นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้นมาเก็บเอาไป
มีเรื่องราวในอรรถกถาเกี่ยวกับนารีผลตอนหนึ่งว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในสรรพศิลปศาสตร์แล้วบวชเป็นฤๅษี มีมูลผลาผลในป่าเป็นอาหาร ยังอัตภาพให้เป็นไปในป่ากว้าง. ครั้งนั้น แม่เนื้อตัวหนึ่ง เคี้ยวกินหญ้าอันเจือด้วยน้ำเชื้อ ในสถานที่ปัสสาวะของพระดาบสนั้นแล้วดื่มน้ำ.
และด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง มันมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส จนตั้งครรภ์ นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมไปไหน เที่ยวอยู่ใกล้ ๆ อาศรมนั่นเอง. พระมหาสัตว์กำหนดดูก็รู้เหตุนั้นทั่วถึง ต่อมา แม่เนื้อคลอดบุตรเป็นมนุษย์. พระมหาสัตว์จึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ด้วยความรักใคร่ว่าเป็นบุตร ตั้งชื่อให้ว่า อิสิสิงคกุมาร ในเวลาต่อมา พระมหาสัตว์ จึงให้อิสิสิงคกุมารผู้รู้เดียงสาแล้วบวช ในเวลาตนชราลง ได้พาดาบสกุมารนั้นไปสู่นารีวัน (ป่านารีผล) กล่าวสอนว่า
ลูกรัก ขึ้นชื่อว่าสตรีเช่นกับดอกไม้เหล่านี้ มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ สตรีเหล่านั้นย่อมยังชนผู้ตกอยู่ในอำนาจตน ให้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงได้ ไม่ควรที่เจ้าจะไปสู่อำนาจของสตรีเหล่านั้น ดังนี้แล้ว
ครั้นในเวลาต่อมา ก็ทำกาลกิริยา เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ฝ่ายอิสิสิงคดาบส เมื่อประลองฌานกีฬาก็พักอยู่ในหิมวันตประเทศ ได้เป็นผู้มีตบะกล้า เป็นผู้มีอินทรีย์อันชำนะแล้วอย่างยวดยิ่ง
ครั้งนั้นพิภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว ด้วยเดชแห่งศีลของพระดาบส ท้าวสักกเทวราช ทรงใคร่ครวญดูก็ทราบเหตุนั้น ทรงพระดำริว่า พระดาบสนี้จะพึงยังเราให้เคลื่อนจากความเป็นท้าวสักกะ เราจักต้องส่งนางอัปสรคนหนึ่ง ให้ไปทำลายศีลของเธอ ดังนี้แล้ว ทรงพิจารณาเทวโลก ทั้งสิ้น ในท่ามกลางเหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งของพระองค์ มิได้ทรงเห็นใครอื่นซึ่งสามารถ ที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสได้ นอกจากนางเทพอัปสร ชื่ออลัมพุสาผู้เดียว จึงรับสั่งให้นางมาเฝ้า แล้วทรงบัญชาให้ทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสนั้น
นางอลัมพุสาเทพอัปสรนั้น เข้าไปหาอิสิสิงคดาบสนั้น ซึ่งประกอบความเพียรในกลางคืนแล้ว สรงน้ำแต่เช้าตรู่ ทำอุทกกิจเสร็จแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลาหน่อยหนึ่ง จึงออกมากวาดโรงไฟอยู่ นางยืนแสดงความงาม ของหญิงอยู่ข้างหน้าของพระอิสิสิงคดาบสนั้น…
นางอลัมพุสา แสดงมายาหญิงเย้ายวน จนดาบสหนุ่มหลงใหล.. และในที่สุด ดาบสหนุ่มก็ถูกทำลายศีล…
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%9c%e0%b8%a5-%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b8%9c%e0%b8%a5/
เมดูซ่า (Medusa)
ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผุ้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก
เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิสซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ ซุส (Zeus) ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และซุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา อาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของเมทิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซุส เมื่อเอเทน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเทน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเทน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเทน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก
สุดท้ายเมดูซ่าก็ถูกเพอร์ซีอุสฆ่าตายจากการถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบฟันคอขาด ซึ่งเอเทน่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการตายของเมดูซ่า ที่เอเทน่าให้เพอร์เซอุสไปฆ่าเมดูซ่าแทนนั้นเพราะอาเทน่าเป็นเทพแล้วจึงใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ไม่มาก จึงใช้มือของเพอร์เซอุสในการทำการเรื่องนี้
เมดูซ่า เป็นชื่อที่ทำให้นึกถึงนางมารร้ายที่มีผมเป็นงู
แต่คำว่า เมดูซ่า – Medusa เป็นคำที่มีมานานมากแล้ว ที่ยังคงเป็นรากศัพท์ไว้ในหลายๆภาษาโบราณ เช่น ในภาษาสันสกฤต คือ "เมธา ในภาษากรีก คือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือคำว่า Met หรือ Maat มีแหล่งกำเนิดจากตำนานของประเทศลิเบีย ที่นำเข้ามารวมในตำนานกรีกทีหลัง เป็นที่นับถือของชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ในยุโรปสมัยโบราณยุคหิน งู ยังไม่ได้เป็นสัญญลักษณ์ของความชั่วร้าย ซึ่งเป็นทัศนคติตามคริสตศาสนาที่เกิดขึ้นมาภายหลัง หากเป็นสัญญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ และก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า เมดูซ่า เจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ เป็นเค้าเงื่อนที่ชาวอินเดียนำไปผูกเป็น เจ้าแม่ทุรคา หรือ กาลี ก็ได้
เมดูซ่า นั้น แต่เดิมทีหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็คงเป็น เจ้าป่าเจ้าเขาที่มีอำนาจ มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน (แบบที่เรียกว่า dreadlocks) ที่ดูคล้ายงูในสังคมดึกดำบรรพ์ ที่ยังนับถือยกย่องให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ ภายหลังที่สังคมกรีกกลายมาให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เนื่องจากเทพบุรุษเข้ามาแทนที่เทพสตรี ในสังคมกรีก ในช่วงพันปีแรกของอาณาจักรกรีก จนมาถึงประมาณ ๖๐๐ ปีก่อนคริสตศตวรรษ วิหารบูชา เมดูซ่า ก็ถูกทำลายลงไปไม่เหลือซาก ชาวกรีกคงเอามาผูกเป็นตำนานให้เป็นนางมารร้ายไปในภายหลัง ชื่อของเธอ ก็กลายไปเป็นเพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ ที่ถูกฆ่าโดย เพอร์ซีอุส แล้วชาวกรีก ก็ถ่ายทอดพลังอำนาจของ เมดูซ่า มาให้ เทพอะธีน่า ผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคม ที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่าง คือรักษาพรหมจรรย์ และรับใช้ครอบครัว ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูน เทพเซอุส พระบิดา เหนือตนเอง ตามตำนานกรีกนั้น เมทิส แม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองสาว ทั้งเมดูซ่าและพี่สาวแต่เดิมนั้น เป็นสาวงามมาก ต่อมา เมทิส แม่ของนาง ถูก เทพเซอุส ข่มขืน แล้วกลืนลงท้องไป เมทิส เป็นเจ้าแห่งปัญญา และสามารถแปลงร่างต่างๆได้ เซอุส จึงอาศัยพลังปัญญาและเวทย์มนต์ของ เมทิส มาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ช่วยให้ เซอุส มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และยังสามารถแปลงร่างได้ดังใจนึก ไปเอาสตรีมากมายเป็นภรรยาได้ในภายหลัง พลังของ เมทิส สำลักออกทางหน้าผากของเซอุส กลายเป็นเทพธิดา อะธีน่า ผู้ได้รับมรดกทางปัญญาจาก เมทิส ผู้เป็นแม่ ตั้งแต่เกิดมา อะธีน่า ก็ถือ เมดูซ่า เป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้อง มีแต่เมดูซ่า ผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอ มีสถานะเป็นเทพ จึงฆ่าไม่ตาย อะธีน่า จึงหันมาหาทางทำลาย เมดูซ่า แต่ผู้เดียวในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด วันหนึ่งใน วิหารอะธีน่า ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นวิหารๆไป เทพอะธีน่า เป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารี ที่สตรีพรหมจรรย์ชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงาม เมดูซ่า ที่มีชายมากหลายหมายปอง ก็ไปบูชา เทพอะธีน่า ยังวิหารตามปกติ เทพโพไซดอน ได้ประจักษ์เห็นความงามของนางแล้ว ก็ต้องการครอบครองโดยใช้กำลังขืนใจ อะธีน่า จึงได้โอกาสใส่ความว่า เมดูซ่า บังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบ เมดูซ่า ให้กลายเป็นมารร้ายน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมอันสวยงามลือชื่อของนาง กลายเป็นงูเต็มหัว จากสาวงามเลื่องชื่อ ต้องมากลายเป็นมารร้ายที่น่าชิงชังขยะแขยง จนใครที่ได้เห็น จะต้องกลายเป็นหินไป เมดูซ่า ทั้งชอกช้ำ ทั้งอับอาย ก็แปรความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการทำร้ายหมายมาดทุกชีวิตที่ขวางหน้า โดยทำให้กลายเป็นหินไปจากการมองหน้าของนาง เป็นการตอบโต้ความอยุติธรรม ที่ทำให้นางต้องรับ ชะตากรรมอันโหดร้าย เมดูซ่า จึงกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึง มากที่สุดในตำนาน กรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆของเมดูซ่าตามวิหารต่างๆมากมาย
ผู้ที่ฆ่า เมดูซ่า ได้คือ เพอร์เซอุส เมื่อ เพอร์ซีอุส ตกหลุมรัก โพลีเดคเทส ก็ต้องออกล่าหา เมดูซ่า เพื่อตัดหัวมาตามสัญญาที่ให้ไว้กับ เทพอะธีน่า ซึ่งรอคอยหาคนมากำจัด เมดูซ่า ให้อยู่นานแล้ว เพราะความเป็นเทพของนาง ทำให้ไม่สามารถไปแสดงอำนาจพาลได้ถนัด ยังต้องอาศัยเหตุผลข้ออ้าง และน้ำมือคนอื่นไปกำจัดศัตรูให้ กี่คนๆมาแล้วที่ต้องการไต่เต้าสร้างวีรกรรม ที่ได้กลายเป็นหินไปหมด ทันทีที่ เพอร์ซีอุส มาเข้าทางตน อะธีน่า ก็กุลีกุจอปรากฏตัวขึ้นทันที เพื่อช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนกำจัด เมดูซ่า ของนางโดยราบรื่น อะธีน่า จึงช่วยบอกทางให้ เพอร์ซีอุส ไปยัง ซามอส อันเป็นที่พำนักของ นางกอร์กอนสามพี่น้อง เทพอะธีน่า ก็ได้ประทานโล่ห์ที่เป็นเงามันวับเหมือนกระจก แล้วช่วยให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อ เพอร์ซีอุส จะได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และเตือน ไม่ให้มองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะทำให้กลายเป็นหินไปเสียก่อน จากนั้น อะธีน่า ก็ให้อนุชา คือ เทพเฮอร์มีส (ที่ชาวโรมันเรียกว่า เมอร์คิวรี่ นั่นเอง) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ เซอุส อีกผู้หนึ่ง ไปนำ ดาบโค้ง ของโครนัสมาให้
เพอร์ซีอุส เพื่อใช้ฆ่า เมดูซ่า เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า เพอร์ซีอุส จะปฏิบัติการได้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆอีก อะธีน่า จึงช่วยบอกอุบายรายละเอียด และชี้ทางให้ เพอร์ซีอุส ไปหานางแม่มดสามพี่น้องแห่ง เกรยี ผู้เป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาเพียงดวงเดียว และมีฟันเพียงซี่เดียว ต้องแบ่งกันใช้ แต่ก็ทะเลาะเบาะแว้งแย่งตาแย่งฟันกันมาชั่วชีวิต เพอร์ซีอุส จึงอาศัยความชุลมุนจากการแก่งแย่งนั้น เข้าไปขโมยดวงตาและฟันพวกแม่มดเกรยีมา เพื่อบังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ แล้วจึงจะคืนตาและฟันให้ เมื่อ เพอร์ซีอุส รู้ทางแล้ว ก็ไปหา นางนิมฟ์ผู้ใจดี ผู้ให้ยืมรองเท้ามีปีกที่ทำให้เหาะได้ หมวกวิเศษที่ทำให้ล่องหนได้ และกระเป๋าวิเศษเพื่อไว้ใส่หัวเมดูซ่า เมื่อได้ของวิเศษต่างๆแล้ว เพอร์ซีอุส ก็เข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงก็พบว่า เมดูซ่า กำลังนอนหลับกับพี่สาวทั้งสอง เพอร์ซีอุส ก็ได้ อะธีน่า ที่ตามมาช่วยอยู่ตลอดเวลา ช่วยถือโล่ห์ให้ จากภาพเงาของเมดูซ่าในโล่ห์มันวับ เพอร์ซีอุส ก็ตัดหัว เมดูซ่า ขาดแล้วเก็บใส่ถุงวิเศษทันที เลือดไหลนอง ออกจากคอของ เมดูซ่า ก่อกำเนิดเกิดออกมาเป็น ม้ามีปีก เพกาซัส แล้ว เมดูซ่า ก็จบสิ้นความระทมทุกข์ทรมาน จากชีวิตอันโหดร้ายของเธอ ส่งผลให้ เพอร์ซีอุส กลายเป็นวีรบุรุษอมตะ ผู้ปราบมาร ของชาวกรีกไป
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b9%e0%b8%8b%e0%b9%88%e0%b8%b2-medusa/
เพกาซัส (Pegasus)
เพกาซัส (Pegasus หมายถึง แข็งแรง) เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก เป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ (ไม่ใช่ยูนิคอร์น ตัวยูนิคอร์นมีเขา)
ประวัติของเพกาซัสตัวนี้ค่อนข้างจะน่าขนลุกอยู่สักหน่อย เรื่องเริ่มมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า นางคนนี้มีความร้ายกาจมากแต่ก็ถูกวีรบุรุษ เปอร์ซีอุล ฟันคอขาดตาย ในขณะที่ นางสิ้นใจตายนั้น มีร่างของม้ากำยำพ่วงพี พร้อมด้วยปีกอันกว้างสง่างาม กระโจนออกมา จากลำคอของนาง ม้าตัวนั้นก็คือ เพกาซัส นั่นเอง เมื่อออกมาแล้วมันก็แผลงฤทธิ์ จนไม่มีใครสามารถปราบได้เลยซักคน ทั้งที่เพกาซัสเป็นความหวัง ของคนทั้งเมือง นอกจากความเก่งกล้าในฝีตีนและฝีปีกแล้ว เพกาซัสยังมีควาสมารถอีกอย่าง คือตอนที่มันเกิดมาใหม่ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคนอง นั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้า ที่มันวิ่ง ก่อให้เกิดน้ำพุสวยงาม ที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุ ฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดกรีกโบราณ ว่ากันว่า ใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมที่เดียว เพกาซัสคึกอยู่ ได้ไม่นาน ก็มีคนดีมาปราบ เป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน (Bellerophon)
เบลเลอโรฟอน เป็นโอรสของเจ้าเมืองโครินทร์ที่มีนามว่า พระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ซึ่งเป็นขุนศึกที่รักม้าเป็นชีวิตจิตใจ พระองค์ทรงมีโอรสหลายองค์ กับพระนางยูรีโนมี แต่มีข่าวลือหนาหูว่า เบลเลอโรฟอนหาใช่โอรสที่แท้จริงของกลอคุสไม่ หากแต่เป็นโอรส ของโปเซดอน มหาเทพแห่งท้องทะเลต่างหาก ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรูปโฉม และความ เก่งกาจกล้าหาญแล้ว ก็น่าจะจริงตามนั้น แต่กลอคุสจะทรงทราบหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ ข้อเท็จจริง ความจริงที่แน่ๆ คือ กลอคุสนั้นทรงรักม้าเสียจนป้อนอาหารแก่มันด้วย เนื้อมนุษย์ เพื่อให้มันดุร้ายในการสงคราม การกระทำอันน่าสยดสยองนี้ทำให้เทพเจ้า รังเกียจเป็นอันมาก และคนธรรมดาที่ถูกเทพเจ้ารังเกียจแล้ว มักจะชะตาขาดเสมอ กลอคุสก็เช่นกัน ทรงถูกจอมเทพซีอุส ลงทัณฑ์ โดยทำให้พระองค์ตกจากรถศึก และม้าเทียมรถของ พระองค์นั่นเองรุมกัดกลอคุส แล้วฉีกทึ้งเนื้อกินจนหมด
แต่ความ รังเกียจที่เทวดามีต่อกลอคุส หาได้ถ่ายทอดมาสู่โอรสของกลอคุสไม่ เบลเลอโรฟอน ยังคงได้รับความเมตตาปราณีจากทวยเทพอยู่เสมอ เห็นได้จากการออกไปผจญภัยที่ร้ายแรงปานใด เขาก็มีชัยอย่าง งดงามเสมอมา ความปรารถนา อันยิ่งใหญ่ของเด็กหนุ่มคนนี้ก็คือ อยากได้เพกาซัสมาเป็นอาชาคู่ใจ แต่เขาจะทำได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเพกาซัส ไม่ใช่ม้าธรรมดา นอกจากเป็นซุปเปอร์ม้าแล้ว ยังมีปีกบินได้อีกด้วย เขาได้รับคำแนะนำจากนักปราชญ์คนหนึ่งว่า น่าจะลองขอความช่วยเหลือ จากเทพเจ้า ดูบ้าง แต่เนื่องจาก เบลเลอฟอนเป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อ จึงควรจะขอจากเทวีมากกว่าเทวา เพราะเทวาอาจเขม่นเอาว่าหมอนี่หล่อกว่าผม… เบลเลอโรฟอนก็เห็นด้วย เขาจึงไปนอน เฝ้าในวิหารของเทวีอธีน่า ซึ่งมักปรากฎองค์ ในความฝันของ ชายหนุ่มอยู่เสมอ การณ์ก็เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ กล่าวคือ ในคืนนั้น อธีน่าเสด็จมาหาเขาจริงๆ ไม่เสด็จเปล่า ทรงนำ อานม้าทองคำสุกปลั่งมาประทานให้ด้วย เบลเลอโรฟอนเต็ม ไปด้วยความปิติยินดียิ่งนัก รุ่งขึ้นเขาก็ถืออานม้าทองคำ ที่ได้รับมานั้น ออกเที่ยวตามหาเพกาซัส ด้วยอำนาจอานม้า วิเศษของเทวี เบลเลอโรฟอนก็ได้เพกาซัส มาไว้ในอำนาจ อย่างง่ายดาย และเขากับม้าวิเศษ ก็ชวนกันเหาะเหินเดินทาง ท่องที่ยวผจญภัยไปทั่วหัวระแหง ตามแบบฉบับเด็กหนุ่มชาว กรีกโบราณซึ่งรักการผจญภัย เป็นว่าเล่นนั่นแหละ เบลเลอโรฟอนผจญภัยไปเรื่อยๆ พบทั้งศึกรบและศึกรัก จนแทบเอาตัวไม่รอด แต่ด้วยความช่วยเหลือของยอดอาชาเขาก็เอาตัวรอดได้เสมอมา ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของเขาคือ การเอาชนะตัว "ไคมีร่า (Chimaera)
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%8b%e0%b8%b1%e0%b8%aa-pegasus/
วิหกเพลิง ฟีนิกส์ (Phoenix)
ฟีนิกซ์ปรากฏตำนานของพวกอียิปต์โบราณ ในฐานะของสัตว์เทพในตำนานซึ่งคู่ควรแก่การบูชา ยกย่อง เคารพ ฟีนิกซ์เกี่ยวข้องกับเทพแห่งไฟ ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า ขนนกของฟีนิกซ์นั้นจะออกเป็นประกายเหลืองทองคล้ายเปลวไฟ บ้างก็ว่าปกคลุมด้วยเปลวไฟทั้งตัวทีเดียว
ขนาดของนกฟีนิกซ์นี้จะมีขนาดเท่านกอินทรีตัวโต จงอยปากและส่วนขาเป็นสีทอง ประกายขนสีแดงถึงเหลืองทอง มีเสียงร้องที่ไพเราะดังเสียงดนตรี รูปร่างสวยสง่างาม บางครั้งหยิ่งผยอง บางครั้งเปี่ยมด้วยความเป็นมิตร บางตำนานเล่าว่านกนี้สามารถฟื้นชีวิตให้กับผู้ตายได้ และสามารถฟื้นพลังทั้งหมดให้กลับสู่ปกติได้ เนื่องจากเป็นสัตว์เวทตัวหนึ่งภายใต้เทพแห่งไฟ บางครั้งจะพบว่าสามารถใช้มนตร์ไฟได้ ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่นิสัยอ่อนโยน เพลงของฟีนิกซ์มีเวทมนตร์สามารถกระตุ้นความกล้าหาญ แห่งจิตใจบริสุทธิ์ และทำให้เกิดความกลัวในจิตใจที่คิดร้าย น้ำตาของนกฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลได้
นกฟีนิกซ์นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอมตะ มีชีวิตยั่งยืนนิรันดร์ เพราะมันสามารถฟื้นคืนชีพได้ เมื่อร่างกายสิ้นอายุขัย (500 ปีหรือ 1461 ปี) ตัวจะลุกเป็นไฟ จากนั้นฟีนิกซ์ก็จะฟื้นจากกองขี้เถ้ามาเป็นลูกนกใหม่
ตำนาน แห่งฟีนิกซ์ยังปรากฏอยู่ในอารยธรรมโบราณไม่น้อย กล่าวกันว่า นกฟีนิกซ์นั้นเป็นนกที่สวยงามที่สุด มีขนาดใกล้เคียงกับนกอินทรี บ้างก็ว่าเป็นเครือญาติของหงส์และนกยูง มีสีแดงเข้มคล้ายสีเพลิง และมีแผงคอสีทอง หรือผสมด้วยสีแดงและสีน้ำเงิน บ้างก็ว่ามีสีม่วง หรือ 5 สีตามความเชื่อของจีน ที่เป็นเช่นนี้ว่าอาจจะมาจากเหตุผลที่ฟีนิกซ์เป็นนกที่มีอายุยืนยาวถึง 500 ปี และสีแต่ละสีอาจจะเป็นการผลัดขนหลายครั้งในตลอดช่วงชีวิตของมันก็เป็นได้
ว่ากันว่าเรื่องราวเริ่มแรกของนกฟีนิกซ์มาจากวรรณกรรมกรีกโบราณที่ชื่อว่า Account of Egypt ของกวีเฮโรโดตัส ประมาณ 430 ปี ก่อนคริสตกาล ตามตำนานกล่าวว่า นกฟีนิกซ์มีอายุ 500 ปี เมื่อถึงเวลาที่ใกล้จะหมดอายุขัย นกฟีนิกซ์จะล่วงรู้ถึงชะตากรรม มันจะสร้างรังจากไม้เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม แล้วนั่งคอยที่กองฟืนไม้หอมและร้องเพลงอย่างสำราญใจ เมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่อง นกฟีนิกซ์จะแผดเผาตนเองกลายเป็นเถ้าถ่าน จากเถ้าถ่านนั้นนกฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่จะกำเนิดขึ้น
ภารกิจแรกที่ฟีนิกซ์หนุ่มต้องกระทำก็คือ การรวบรวมเถ้าถ่านของพ่อแม่แล้วนำไปฝังที่วิหารเฮลิโอโปลิส หรือนครแห่งตะวันในอียิปต์ จากนั้นก็จะบินกลับมาที่อาระเบียและใช้ชีวิตอยู่จนกว่าจะเปลี่ยนร่างอีก ครั้ง
จดกำเนิดตำนานเกี่ยวกับนกฟีนิกซ์นี้ อาจมาจากหนังสือแห่งเวทมนตร์เล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Book of Dead ซึ่งกล่าวถึงนกยักษ์ลักษณะคล้ายนกฟีนิกซ์ นกยักษ์ตัวนี้เป็นต้นแบบของวิญญาณอิสระที่ลุกขึ้นมาจากกองเพลิง และบินไปยังเฮลิโอโปลิสเพื่อประกาศยุคใหม่ เพราะว่าดวงอาทิตย์ได้สาดแสงไล่หลังนกที่บินจากตะวันออกไปยังตะวันตก นกจึงปรากฏตัวพร้อมกับเช้าวันใหม่จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งไฟและดวงอาทิตย์ ไปในที่สุด
การที่นกฟีนิกซ์สามารถเกิดใหม่ได้จากเถ้าถ่านของตัวเอง จึงกลายเป็นตัวแทนของการฟื้นคืนจากความตาย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กวีและนักเขียนหลายต่อหลายท่าน จนเรื่องราวแห่งนกฟีนิกซ์แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวรรณกรรมยุโรปหลายต่อหลายเรื่อง
ยังมีเรื่องเล่าของฟีนิกซ์ที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกันที่ว่า ในอดีตกาล เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือที่รู้จักกันคือ เทพอพอลโล ได้เห็นความงดงามของฟีนิกซ์ จึงได้ขอให้มาเป็นนกข้างกายพระองค์ พร้อมกับให้พรวิเศษคือ “ชีวิตอมตะ” แก่นกฟีนิกซ์เป็นการตอบแทน
พอได้พรวิเศษ เจ้านกฟีนิกซ์ก็สุดแสนจะดีใจ มันค้อมศีรษะเพื่อแสดงความคารวะ ในขณะที่เริ่มเปล่งเสียงร้องขับขานบทเพลงสรรเสริญ “สุริยเทพผู้รุ่งโรจน์ สุริยเทพผู้สง่างาม ข้าจะเป็นประหนึ่งผู้ขับขานบทเพลงเพียงเพื่อท่านและเป็นนกฟีนิกซ์แห่ง สุริยเทพแต่เพียงผู้เดียว ชั่วนิรันดร์” และทุกวันจะบินไปยังทางตะวันออกเพื่อคอยร้องเพลงขับกล่อมเทพเจ้าแห่งดวง อาทิตย์ในช่วงเช้าตรู่
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี เจ้านกฟีนิกซ์ก็เริ่มแก่ตัวลง ไม่มีแรงที่จะร้องเพลงขับกล่อมเทพเจ้าได้เช่นเดิม นกฟีนิกซ์จึงได้ร้องขอเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ช่วยทำให้ตัวเองกลับมาเป็นหนุ่มและแข็งแรงอีกครั้ง แต่เหมือนคำขอดังกล่าวจะไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ดังนั้น เจ้านกฟีนิกซ์จึงตัดสินใจบินกลับรังของตัวเอง และระหว่างทางได้พบบรรดาไม้หอมนานาชนิดจึงเก็บไปด้วย เพื่อนำมาสร้างรังบนยอดต้นปาล์ม หลังจากนั้นก็ร้องขอให้เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ประทานความหนุ่มและความแข็ง แรงให้อีกครั้ง
ไม่นานท้องฟ้าก็ปั่นป่วนและเกิดฟ้าผ่าลงบนรังของเจ้าฟีนิกซ์ ส่งผลให้รังและเจ้านกฟีนิกซ์ถูกเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน และกลายมาเป็นนกฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ พร้อมกับเริ่มทำหน้าที่ขับกล่อมเสียงเพลงให้แก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ได้ อีกครั้ง และทุกๆ 500 ปีล่วงผ่านไป นกใหญ่แห่งสุริยะตัวนี้ก็จะบินกลับมายังที่เดิม เพื่อให้สุริยเทพเผาตัวเองเพื่อการกลับมาสู่นกตัวใหม่ที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
ในตำนานกรีกยังเล่าขานอีกว่า นกฟีนิกซ์จะอาศัยอยู่ในแถบอาระเบีย โดยจะอาศัยอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น ทุกๆ เช้าที่ตะวันเริ่มสาดแสง เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะต้องหยุดรถม้าเพื่อฟังเสียงร้องอันแสนไพเราะของนก ฟีนิกซ์ยามที่มันเล่นน้ำทุกวัน
อาหารโปรดของเจ้านกชนิดนี้ก็สุดแสนจะศิวิไลซ์ นกฟีนิกซ์ชอบกินสายลมอ่อนๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือหมอกบริสุทธิ์ที่ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำและทะเล
ยังมีการพูดถึงคุณลักษณะพิเศษของเจ้าฟีนิกซ์เอาไว้อีกว่า ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่มีนิสัยอ่อนโยน สามารถหายตัวและปรากฏตัวใหม่ตามใจนึกเช่นเดียวกับตัวดิริคอว์ล เพลงของนกฟีนิกซ์มีเวทมนตร์ สามารถกระตุ้นความกล้าหาญแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ และทำให้เกิดความกลัวในจิตใจที่คิดร้าย และน้ำตาของนกฟีนิกซ์ก็เป็นดังโอสถทิพย์แห่งสวรรค์ที่มีพลังในการรักษาบาด แผลและชุบชีวิตได้ แต่ถึงกระนั้นเจ้านกฟีนิกซ์ก็ยากจะหลั่งน้ำตาให้ใคร ยกเว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะมีคุณงามความดีมากพอที่จะกลับมามีชีวิตใหม่อีก ครั้ง
จากวงจรชีวิตทั้งหมดทั้งมวลของเจ้านกฟีนิกซ์นี้เอง ที่ทำให้ในตำนานของกรีกและโรมันเชื่อว่า นกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตเป็นอมตะ การฟื้นคืนชีพ และเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือแม้กระทั่งในช่วงต้นของคริสต์ศาสนาก็ได้มีการนำเอารูปนกฟีนิกซ์มาสลัก เป็นลวดลายบนหินปิดหลุมฝังศพ ซึ่งหมายถึงผู้ที่จากไปจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งนั่นเอง
เรื่องราวความเป็นอมตะของเจ้านกฟีนิกซ์ ยังปรากฏอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องดัง “ฮิโนโทริ วิหคเพลิง” ผลงานของ เท็ตซึกะ โอซามุ การ์ตูนที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิตที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุด เรียกว่าเป็นมังงะที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่งที่นักอ่านไม่ว่ารุ่นใหม่หรือรุ่น เก่าไม่ควรพลาด เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำร่ำลือที่ว่าผู้ใดที่ได้ดื่มเลือดของฮิโนโทริ หรือวิหคเพลิงจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ และด้วยความกระหายของมนุษย์นี่เอง นำมาซึ่งสงครามล้างแผ่นดิน
เนื้อเรื่องนอกจากจะกล่าวถึงการเกิดและตายของนกฟีนิกซ์ เฉกเช่นเดียวกับในตำนานฝั่งตะวันตกแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิตมากมาย ดั่งตัวอย่างตอนหนึ่งที่ นาคี ลูกบุญธรรมของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ถามนกฟีนิกซ์ว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ตาย ขณะที่พวกเรามนุษย์ต้องตายทุกคน ทำไมถึงอยุติธรรมแบบนั้น” “อยุติธรรมเหรอ? พวกเธอต้องการอะไร อำนาจที่จะไม่ตาย หรือความสุขในการมีชีวิต” วิหคเพลิงพูด “ฉันไม่รู้หรอก แต่เจ้าก็มีความสุขไม่ใช่เหรอที่ไม่ตาย” นาคีว่า “นาคี ดูที่เท้าเธอสิ มีแมลงอยู่ พวกมันมีชีวิตยืนยาวแค่ครึ่งปี แมงเม่ายิ่งสั้นใหญ่ พวกมันมีอายุแค่ 3 วันเท่านั้น มนุษย์มีชีวิตยืนยาวกว่าแมลง ปลา หมา แมว หรือลิง ตลอดช่วงชีวิตถ้าได้พบความยินดีในการมีชีวิต นั่นคือความสุขที่แท้จริงมิใช่หรือ?” วิหคเพลิงกล่าวย้ำ
แม้ “ฟีนิกซ์” จะเป็นเพียงนกในตำนาน แต่ก็คงเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ให้เล่าขานกันไปอีกนาน โดยเฉพาะการเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเองเพื่อให้ชีวิตใหม่ได้ดำเนิน ต่อไป....
ที่มา : http://www.tumnandd.com/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%ab%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%87-%e0%b8%9f%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b9%8c-phoenix/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)